“นักเขียน” มีความสัมพันธ์แบบใดกับ “ประสบการณ์ภายใน” (Inner Experience) ? มิใช่ว่าการเขียนอยู่ห่างไกลจาก “การระเบิดโพล่งโดยพลัน” อย่างลิบลับที่สุดหรอกหรือ...? มิใช่ว่ากรอบมโนทัศน์ต่างๆ ล้วนเป็นกับดัก เป็นตรวนตรึงความคิดความรู้สึกอันหลุดลอยอยู่ในอากาศ ให้หวนกลับสู่เรือนจำแห่งถ้อยคำอีกครั้ง?
เราทราบกันดีว่า มันมีแนวโน้มที่จะมองเห็นถ้อยคำ...เป็นเพียงถ้อยคำ (mere words) เท่านั้น; ในบางนิกายของเซ็น ผู้หวังหยั่งถึงพื้นรากแห่งความเป็นจริง (ของตนและสิ่งต่างๆ) หากอาศัยเพียงคำพูดอธิบาย ความเข้าใจ หรือสติปัญญา มันยิ่งนำพาให้เขาไร้ทางออก ในไม่ช้าเขาผู้นั้นย่อมมาถึงความอับจนทางปัญญาในที่สุด เป็นสภาวะจนตรอก (cul-de-sac) ทางความคิดต่อหน้า “ปมปัญหาสูงสุด” (Absolute Enigma) ... เขาจึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากบางสิ่งซึ่งเกินพลังสติของเขา บางสิ่งซึ่งไร้คำอธิบาย ไร้ที่มาที่ไป ไร้เหตุผลสิ้นดี แต่สามารถเผยแจ้งความจริงแก่เขา มากยิ่งกว่าถ้อยคำมีระเบียบเหล่านั้น
ไม่มีใครหนีถ้อยคำพ้น (กระทั่ง man of action ... หรือกระทั่งพวก mystic!) ถ้อยคำมักอยู่ก่อนและหลังประสบการณ์ดังกล่าวเสมอ: จะไม่มีประสบการณ์ภายในหากระเบียบแห่งถ้อยคำยังยึดครองตำแหน่งสูงสุดภายในตัวเรา หากไม่มีการชะงักงันซึ่งกิจกรรมทางความคิดต่างๆ ลงชั่วขณะ ... มันกลับมาอีกครั้ง เมื่อเราพยายามเอ่ยถึงมันอย่างตะกุกตะกักหลังจากนั้น
กระนั้นก็ยังมีถ้อยคำบางแบบ พยายามหยิบยืมสภาวะ “ไร้ความนึกคิด” จากบทกวีและเสียงดนตรี (ในสองอย่างหลังนี้ “ถ้อยคำ” ความหมาย และการใช้งานมัน ถือเป็นเพียงเรื่องรองๆ เท่านั้น ศิลปินกลุ่มหนึ่งจึงมองว่ามันบริสุทธิ์กว่า เหมาะสำหรับนำเสนอความคิดที่มีความ ethereal มากกว่าร้อยแก้ว; การเขียนของพวกเขาจึงคล้ายต่อต้านกิจกรรมการเขียนอยู่ในที เพราะมองว่า การเขียนโดยปกติมักเชื่อมั่นและอาศัยพลังอำนาจจากตัวมนุษย์ผู้กระทำการมากเกินไป มันจึงไร้รอยแต้มของ “บางสิ่งซึ่งข้ามพ้นตัวนักเขียน” ซึ่งมิได้มาจากความสามารถมนุษย์ล้วนๆ แต่มาจากความยินยอมพร้อมใจของสิ่งต่างๆ ด้วย)
แม้โดยปกติแล้ว ธรรมชาติของคำจะส่งผ่านและสื่อสารสิ่งอันคุ้นเคยต่างๆ มีหน้าตาคล้ายคลึงกับชีวิตประจำวันของผู้อ่านอยู่บ้างไม่มากก็น้อย (มันคือป้ายบอกทางกลับบ้าน, คือเศษขนมปังที่เราโรยทิ้งไว้ตามทาง) หากแต่ในทางที่ดูลึกลับกว่านั้น มันกลับสื่อสารบางสิ่งซึ่งมีความเป็นจริงลึกซึ้งกว่า (มันคือกระจกสะท้อนตัวตนลึกสุดแท้จริงของเรา ไปพร้อมๆ กับการเป็นเครื่องหมายบอกทางกลับสู่ตัวตนในยามปกติ, คือสิ่งที่ยึดโยงเราไว้กับโลกและปลดปล่อยเราจากมันในคราเดียวกัน)
“Guess, or I devour you” — มันมีโมงยามเมื่อสิ่งไร้ชีวิตต่างๆ เรียกร้องการตอบรับจากภายในของเรา การลงแรงทางความคิดทั้งหมดของเราพากันมารวมศูนย์อยู่ที่คำถามซึ่งความไพศาลของท้องฟ้า หรือเสียงหัวเราะของดอกไม้ เป็นผู้ถาม เมื่อนั้น เราอาจกรีดร้องถ้อยคำเดียวกับโบดแลร์ว่า: “ความงาม... ได้โปรดอย่าทรมานตัวข้าอีกเลย!” แต่ถ้อยละล่ำละลักนั่นก็อาจไม่ใช่เสียงจากตัวเราล้วนๆ
————————————